1.ผู้ให้บริการนั้นมีตัวตนจริงหรือไม่ สถานที่ตั้งมีจริงหรือไม่ เพื่อง่ายเวลาติดตาม ถ้ามีแค่เบอร์มือถืออย่างเดียวควรระวังไว้
2.บริษัทเปิดมา กี่เดือน กี่ปี โดยขอดูจากหนังสือจดทะเบียน อย่าเชื่อคำโฆษณากล่าวอ้างต่างๆ ว่า เชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์มานาน ดังนั้น หากอายุบริษัทมาก มีลูกค้าอ้างอิงมาก ความน่าใช้บริการก็จะมากขึ้นตามลำดับ
3.มีการรับประกันในการขนย้ายให้ไหม ต้องดูว่าเขาจ่ายเองหรือมีบริษัทประกันรองรับ เสียหายจ่ายเท่าไหร่ จ่ายให้หลังจากเสียหายกี่วัน มีกรมธรรม์คุ้มครองให้ดูเป็นหลักฐานหรือไม่ ถ้าเขาจ่ายเองไม่ควรใช้บริการ เพราะหากเกิดมีปัญหาขึ้นมาแล้วตกลงกันไม่ได้ ท่านจะต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอง
4.มีพนักงานประจำกี่คน ถ้ากลัวถูกหลอกให้ขอดูเอกสารส่งเงินสมทบประกันสังคม ท่านก็จะรู้ว่าเขามีลูกจ้างประจำอยู่กี่คน บางรายไม่มีพนักงานประจำ ไม่มีการอบรมพนักงานก่อนปฏิบัติงาน จ้างคนงานนอกรายวันมาขนย้ายให้ท่าน คนเหล่านี้รับค่าจ้างเป็นรายวันไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทไม่มีเงินค้ำประกัน ดูแลเรื่องความประพฤติและเรื่องลักขโมยลำบาก
5.รถขนย้าย ที่ตกลงจะให้บริการเป็นแบบไหน รถสภาพใหม่หรือเก่า เพราะบางครั้งหากใช้รถเก่า รถอาจจะเสียกลางทาง ทำให้เสียเวลา อีกทั้งตรวจดูว่ารถมีหลังคาหรือไม่มีหลังคา เพื่อป้องกันการสูญหายและปัญหาจากฝน
6. ตรวจดูว่ามีพนักงานตรวจค้นเจ้าหน้าที่ขนย้ายหรือไม่ บริษัทที่มีมาตรฐานส่วนใหญ่จะต้องมียามตรวจค้นร่างกายพนักงานทุกคนเวลาเข้า-ออก เพื่อป้องกันเรื่องเหล่านี้ให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด ถ้าไม่มียามคอยตรวจค้นพนักงานก็ไม่น่าเลือกใช้ เพราะอาจเกิดปัญหาของสูญหายได้
7. เช็คจำนวนรถและพนักงานขนย้าย บางรายที่ราคาถูก มีรถเพียงแค่คันเดียว มีคนงาน 1-3 คน เมื่อท่านตกลงใช้บริการ อาจเกิดปัญหา ไม่ว่าง หรือต้องรอคิว พอใกล้วันโทรมาขอเลื่อน อาจทำให้ท่านต้องเลื่อนกำหนดการขนย้ายไปหมดทำให้วุ่นวายภายหลัง