ความ ผิดในทางอาญานั้น โดยหลักแล้วต้องถือว่าเป็นความผิดต่อแผ่นดินทั้งนั้น กรณีที่เป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือที่กฎหมายเรียกว่า ความผิดอันยอมความกันได้นั้น ถือเป็นข้อยกเว้นซึ่งจะต้องมีกฎหมาย บัญญัติไว้โดยเฉพาะเจาะจง
ความผิดอันยอมความกันได้นี้แตกต่างจากความผิดอาญาแผ่นดิน คือผู้เสียหายไม่ติดใจเอาแก่ผู้กระทำความผิด เช่นไม่ยอมร้องทุกข์ ตำรวจก็จะสอบสวมผู้กระทำผิดมิได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 121 อันจะทำให้รัฐไม่อาจดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดไปโดยลำพังได้ หรือหากมีการดำเนินคีด เมื่อมีการถอนฟ้องหรือยอมความกัน สิทธินำคดีนั้นมาฟ้องก็จะกลับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39
การใช้กฎหมายอาญา
เมื่อการกระทำผิดเกิดขึ้น และการกระทำผิดนั้นยอมความมิได้หรือเป็นความผิดอันยอมความได้ ้และผู้เสียหายติดใจที่จะให้มีการดำเนินคดีก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้อง เข้ามาเกี่ยวข้องโดยการนำตัวผู้กระทำผิดไปลงโทษ
แต่เนื่องจากการลงโทษทางอาญานั้นมีผลกระทบกระเทือนต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ และทรัพย์สินของประชาชน จึงมีหลักการยอมรับกันในทางกฎหมายที่ว่า "ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ หากไม่มีกฎหมาย"
หลักเกณฑ์การใช้กฎหมายอาญา
- ผู้กระทำความไม่ต้องรับผิดชอมในทางอาญาหากการกระทำนั้นไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ในขณะกระทำว่าเป็นความผิด และกำหนดโทษไว้
- กฎหมายอาญาจะย้อนหลังเป็นผลร้ายมิได้
- ถ้อยคำในกฎหมายอาญาต้องบัญญัติให้ชัดเจนแน่นอนปราศจาการคลุมเครือ
- กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด
- หลักการตีความโดยเคร่งครัดมีดังนี้
- จะนำบท กฎหมายใกล้เคียง มาใช้เป็นผลร้ายมิได้
- จะนำ จารีตประเพณี มาใช้เป็นผลร้ายมิได้
- จะนำ หลักกฎเกณฑ์ทั่วไป มาใช้เป็นผลร้ายมิได้
การตีความกฎหมายอาญา
การตีความกฎหมายอาญานั้นจะต้องตีความที่ถูกต้องโดยผู้ตีความชอบที่จะต้องใช้การผสมผสานของหลักเกณฑ์การตีความ โดยถือเอา การตีความตามความมุ่งหมายของตัวบทกฎหมายเป็นแกนนำ ส่วนหลักเกณฑ์การตีความกฎหมายอื่นๆนั้นเป้นเพียงปัจจัย ที่จะนำเข้าไปใกล้กับความหมายที่แท้จริงของตัวบทกฎหมายเท่านั้น
หลักการตีความกฎหมายทั่วไปที่นำมาใช้ตีความกฎหมายอาญาพอสรุปได้ดังนี้
- การตีความตามหลักภาษา
- การตีความตามความสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบของกฎหมาย
- การตีความตามประวัติความเป็นมาของกฎหมาย และ
- การตีความตามความมุ่งหมายของตัวบทกฎหมาย
โครงสร้างของกฎหมายอาญาของไทย แบ่งออกเป็น 3 ภาคดังนี้
- กฎหมายอาญาภาคทั่วไป
- กฎหมายอาญาภาคความผิด
- กฎหมายอาญาภาคลหุโทษ